เราทราบกันมาตั้งกว่า 2000 ปีมาแล้ว เป็นหนึ่งในกลไกอันซับซ้อนของโรคที่เกิดจากความร้อน ซึ่งยังไม่สามารถเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้ โดยโรคนี้มีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 10-50% และ 7-20% ของผู้รอดชีวิตจะมีความเสียหายในระบบประสาทอย่างถาวร อาการหลักๆ ได้แก่ อุณหภูมิในร่างกายส่วนกลางสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส และระบบประสาทส่วนกลางไม่ทำงาน
โรคที่เกี่ยวกับลความร้อนไม่ได้มีแค่โรคเดียว แต่เป็นสภาวะที่แตกต่างกันไปตามระดับความรุนแรงที่เกิดขึ้น โดยมีภาวะฮีตสโตรคเป็นแบบรุนแรงที่สุด สามารถแบ่งออกเป็นชนิดได้แก่
1. Heat cramp หรือภาวะเป็นตะคริวจากความร้อน มักเกิดจากเกลือแร่ที่ผิดสมดุลระหว่างออกกำลังกาย
2. Heat syncope การหมดสติจากภาวะที่อุณหภูมิสูงเกินไปจนหลอดเลือดขยายตัวไปหมดทั้งร่างกาย
3. Heat exhaustion ภาวะเหนื่อยล้า อ่อนแรง ปวดหัว คลื่นไส้อาเจียร เกิดจากการขาดน้ำ และเกลือแร่ ถ้าเกิดในระหว่างออกกำลังกายจะเป็นแบบฉับพลัน แต่ถ้าไม่เกี่ยวกับการออกกำลังกายจะเป็นลักษณะเรื้อรัง แต่อุณหภูมิในร่างกายอาจไม่สูงก็ได้
4. Heat stroke คือภาวะที่อุณหภูมิส่วนกลางในร่างกายสูงกว่า 40 องศาเซลเซียสจนระบบประสาทไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ เกิดภาวะอักเสบขึ้นทั่วร่างกายจนเกิดภาวะอวัยวะทำงานล้มเหลว โดยมีการแบ่งเป็น 2 แบบคือ แบบที่สัมพันธ์กับการออกกำลังกาย (exertional heat stroke; EHS) และไม่สัมพันธ์ (non-exertional heat stroke; NEHS)
การระเหย
นำความร้อนโดยการสัมผัสโดยตรง
การพาความร้อนระหว่างของสองสถานะ เช่นอากาศพัดผ่านผิวหนัง
การแผ่รังสี
โดยกลไกที่ได้ประสิทธิภาพสูงที่สุดในร่างกายคือการระเหยของเหงื่อนั่นเอง อย่างไรก็ตาม เมื่ออุณหภูมิภายนอกใกล้เคียงกับอุณหภูมิมากเท่าไหร่ (หรือในทางตรงข้ามคืออุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นมาเท่าอุณหภูมิภายนอก)กลไกนี้จะทำงานได้น้อยลง ภาวะฮีตสโตรคที่ไม่สัมพันธ์กับการออกกำลังกาย (NEHS) มักไม่มีเหงื่อออกซึ่งตรงข้ามกับกลุ่มที่เกิดจากการออกกำลังกาย เราสามารถเร่งการขจัดความร้อนด้วยกลไก conduction ด้วยการแช่หรือเช็ดตัวในน้ำที่อุณหภูมิต่ำกว่าร่างกาย
อาการหลักคือภาวะอุณหภูมิในร่างกายสูงผิดปกติร่วมกับการทำงานของระบบประสาทส่วนกลางล้มเหลว อย่างไรก็ตามเมื่อผู้ป่วยมาถึงที่โรงพยาบาลอุณหภูมิของร่างกายอาจไม่สูงแล้วเพราะได้รับการรักษาเบื้องต้นมาก่อน ประวัติการออกกำลังกาย การอยู่ในที่ที่ร้อนช่วยในการวินิจฉัย
เป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์อย่างแท้จริง แจ้งแพทย์ ขอความช่วยเหลือ อย่างเร่งด่วน
หยุดกิจกรรมทุกอย่าง เอาผู้ป่วยเข้าที่ร่ม ถอดเสื้อที่ไม่จำเป็นออก พัดให้ลมผ่านตลอด สเปรย์น้ำพรมลงตัวผู้ป่วย หรือเช็ดตัว ถ้ามีน้ำแข็งให้แพ็คที่บริเวณซอกคอ รักแร้ อละขาหนีบ
เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด แต่เหมาะสมกับผู้ป่วยแข็งแรงในกลุ่มที่เกิดจากการออกกำลังกายเป็นหลัก ซึ่งจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ และผู้เชี่ยวชาญ บางครั้งผู้ป่วยจะทนไม่ไหว รบกวนการติดตามสัญญาณชีพระหว่างทำ หรือระหว่างฟื้นคืนชีพ (CPR) ภาวะแทรกซ้อนเกิดได้มากในผู้ป่วยสูงอายุ ไม่มีการกำหนดอุณหภูมิที่แน่นอน แต่ผู้ป่วยมักทนกับน้ำเย็นได้มากกว่าน้ำแข็ง อาจแช่แค่บางส่วนของร่างกายถ้าทนไม่ได้
ถอดเสื้อผ้าออกให้มากที่สุด ใช้สเปรย์พรมน้ำบนตัวผู้ป่วย ใช้ผ้าบางเปียก หรือผ้าก็อซชุบน้ำ แล้วพัดลมผ่านด้วยพัดลมตลอด แนะน้ำให้ใช้น้ำอุณหภูมิปกติ ถึงอุ่นไม่ต้องใช้น้ำเย็นมากเพื่อป้องกันภาวะหลอดลเอดส่วนปลายหดตัว ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิส่วนกลางไม่ลดลง การนวดเบาๆช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตสู่หลอดเลือดส่วนปลายได้ การประคบด้วยน้ำแข็งใช้เฉพาะบริเวณหลอดเลือดใหญ่เท้านั้นซึ่งได้แก่ รักแร้ คอ และขาหนีบ เป็นวิธีที่ทำได้ง่าย และได้ผลดี
ยา: ในปัจจุบันไม่มีบทบาทการให้ยาใดๆ ที่มีผลในการรักษาภาวะนี้
การตรวจเพิ่มเติม: มีการศึกษาพบว่าผู้ป่วยที่เคยเป็นฮีตสโตรกจะมีโอกาสการแพ้ยาสลบ (malignant hyperthermia) มากขึ้น ซึ่งเป็นการแพ้ที่พบน้อยมาก แต่ถึงแก่ชีวิต ในบางการศึกษาจึงแนะนำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ทำการทดสอบการแพ้ยาสลบด้วยเพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนถ้าต้องดมยาสลบในอนาคต ในทางกลับกันผู้ป่วยที่เคยแพ้ยาดมสลบและรอดชีวิตมาได้ เมื่อทำการออกกำลังกาย อุณหภูมิในร่างกายจะสูงกว่าคนทั่วไป จึงถือได้ว่าสองภาวะนี้อาจอยู่ในขอบเขตโรคเดียวกัน
การป้องกัน และการตระหนักถึงภาวะนี้ควรอยู่ในใจของทุกคนในประเทศไทย แพทย์ต้องตระหนักถึงโรคนี้ให้มากกว่าเดิม ควรให้การศึกษาเกี่ยวกับการรักษาเบื้องต้นแก่ประชากรทั่วไป
ด้วยความห่วงใย และอาลัยแด่ผู้ที่จากไป รัก และระลึกถึงเสมอ.